วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แนะนำอาหารน่าทาน



 
 

นั่งล้อมวงกินข้าว สุขสันต์กับสามเมนูครอบครัว (หนังสือแม่บ้าน)

           ปัจจุบันนี้อะไร ๆ ก็ดูจะเปลี่ยนแปลงไปเสียหมด แทบจะจำภาพเก่าภาพเดิมกันไม่ได้ เช่น การร่วมนั่งล้อมวงกันกินข้าว ปัจจุบันนี้ลองเถอะลองให้ไปนั่งเชื่อได้เลยว่ายังไม่ทันเคี้ยวอาหารเป็นต้องขยับพลิกซ้ายพลิกขวาแน่นอน การตำน้ำพริกแกงด้วยครกก็เช่นกัน ก็จะใช้เครื่องบดแทน ถ้าลองให้ไปตำเองล่ะก็ เห็นทีจะได้กินอาหารกันก็คงจะบ่าย ๆ เย็น ๆ โน้นเลย แต่ถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป เราก็แค่มาสะกิดสะเกาเสียหน่อยเผื่อท่านจะนึกครึ้มอกครึ้มใจชวนญาติพี่น้อง ลูก ๆ หลาน ๆ เข้าครัวช่วยกันทำกับข้าว ต้ม ยำ ทำแกง โขลกน้ำพริกแกงเอง แล้วร่วมนั่งล้อมวงกินพร้อมหน้าพร้อมตากัน โอ๊ย! รับรองว่าท่านจะรู้สึกได้ถึงคำว่าบ้านคือวิมานของเราเชียวล่ะ...

           ได้เลย "สำรับไทยวันนี้" สนับสนุนเต็มที่กับครอบครัวสุขสันต์หรรษา จัดให้ค่ะ แกงจืดสามเซียน แกงสามผัก และยำสามสี มื้อนี้ท่านได้ต้ม ยำ ทำแกงได้โขลกน้ำพริกแกงเอง แสดงฝีมือกันอย่างเต็มที่กันไปเลย อ่ะแน่นอนไม่ต้องมายิ้ม "เสน่ห์ปลายจวัก" ไงล่ะคะ


            แกงจืดสามเซียน



ส่วนผสม

           กุ้งสด                10    ตัว
           ปลาหมึก                2    ตัว
           เนื้ออกไก่หั่นชิ้น            50    กรัม
           สาหร่ายแห้ง            1    แผ่นเล็ก
           แปะก๊วย                50    กรัม
           เห็ดหอมสด            5    ดอก
           ซีอิ๊วขาว                1    ช้อนโต๊ะ
           เกลือป่น                ¼    ช้อนชา
           น้ำเปล่า                2    ถ้วยตวง
           ขึ้นฉ่ายหั่นเป็นท่อน ๆ        1    ต้น
           กระเทียมเจียวเล็กน้อย สำหรับโรยหน้า

วิธีทำ

           1. ปลาหมึกลอกเอาเยื่อออก บั้งและหั่นเป็นชิ้นขนาดพอควร
           2. กุ้งสดปอกเปลือกเหลือหางไว้ ผ่าหลังดึงเส้นดำออก
           3. สาหร่ายแห้งปิ้งพอหอม บิดเป็นชิ้น ๆ ใส่ชามเตรียมไว้
           4. นำน้ำเปล่าใส่หม้อ ยกขึ้นตั้งไฟพอเดือด ใส่เนื้ออกไก่ ปลาหมึก กุ้ง พอเดือดใส่เห็ดหอมสด แปะก๊วย ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว เกลือป่น ชิมรสตามชอบ ใส่ขึ้นฉ่ายคนให้ทั่ว ยกลงตักใส่ชามสาหร่ายที่เตรียมไว้ โรยด้วยกระเทียมเจียว

Note…

           • สาหร่าย เป็นพืชน้ำดีมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ป้องกัน โรคคอพอก ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ท้องไม่ผูก แถมทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และบำรุงเส้นผมให้ดกดำเงางามอีกด้วย


            แกงสามผัก


ส่วนผสม

           ปลาเนื้ออ่อน (ขนาด 700-800 กรัม)        1    ตัว
           ยอดมะพร้าว                100    กรัม
           เมล็ดถั่วลันเตา                100    กรัม
           ฟักทองแก่ ๆ                100    กรัม
           กระชายซอย                30    กรัม
           ใบมะกรูด                    2    ใบ
           ใบกระเพรา                3-4    กิ่ง
           พริกชี้ฟ้า (สีเขียว สีแดง สีเหลืองอย่างละ)        1    เม็ด
           น้ำปลา                    2    ช้อนโต๊ะ
           เกลือป่น                    2    ช้อนชา
           น้ำตาลปี๊บ                    2    ช้อนชา
           น้ำเปล่า                    1 ½    ถ้วยตวง
           น้ำมันพืช, น้ำส้มสายชู

           ส่วนผสมน้ำพริกแกง

           พริกแห้ง (เม็ดใหญ่แกะเมล็ดออกแช่น้ำ)        5    เม็ด
           ข่าหั่นละเอียด                ¼    ช้อนชา
           พริกไทย                    10    เม็ด
           ลูกผักชีคั่ว                    ½    ช้อนชา
           ลูกยี่หร่าคั่ว                ¼    ช้อนชา
           ตะไคร้หั่นบางๆ                ¼    ช้อนชา
           ผิวมะกรูดหั่นละเอียด                ¼    ช้อนชา
           รากผักชีหั่นละเอียด                ¼    ช้อนชา
           หอมแดงซอย                1    ช้อนโต๊ะ
           กระเทียมซอย                1 ½    ช้อนโต๊ะ
           เกลือป่น                    ¼    ช้อนชา
           กะปิ                    ¼    ช้อนชา

วิธีทำ

           1. โขลกส่วนผสมน้ำพริกแกงให้ละเอียด
           2. ยอดมะพร้าวหั่นชิ้นเล็กพอควร แช่ในน้ำเปล่าผสมน้ำส้มสายชูเล็กน้อย
           3. ฟักทองล้างน้ำปอกเปลือกออก หั่นชิ้นเล็กเท่า ๆ กับยอดมะพร้าว
           4. ปลาเนื้ออ่อนควักไส้ออก หั่นเป็นท่อน ๆ ยาว 2-3 นิ้ว ล้างให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ
           5. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชพอร้อน ใส่ปลาเนื้ออ่อนลงทอดพอเหลือง ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
           6. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ พอร้อนนำน้ำพริกแกงที่โขลกไว้ลงผัดจนมีกลิ่นหอม ใส่ฟักทองลงไปผัดให้เข้ากัน เติมน้ำเปล่าลงไปพอเดือด ใส่ยอดมะพร้าว เมล็ดถั่วลันเตา กระชาย ปลาเนื้ออ่อนทอด ปรุงรสด้วยน้ำปลา เกลือป่น น้ำตาลปี๊บ พอเดือดชิมรสตามชอบ ใส่พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ ใบมะกรูดฉีกเป็นชิ้น และใบกะเพรา คนให้เข้ากันยกลงตักใส่จานเสิร์ฟร้อน ๆ

Notes…

           • ยอดมะพร้าว เลือกยอดที่อ่อนสดสีครีม ไม่แก่
           • เมล็ดถั่วลั่นเตา เลือกฝักสีเขียว แน่นอน ตรง ๆ ไม่คดงอ
           • ฟักทอง เลือกผิวเปลือกที่ขรุขระ เนื้อแน่น สีเหลืองเข็ม


            ยำสามสี


ส่วนผสม


           เนื้อหมูสับรวน            50    กรัม
           กุ้งสดปอกเปลือกลวกหั่นชิ้น        50    กรัม
           หนังหมูต้มซอยบางๆ            40    กรัม
           ถั่วพูต้มพอสุกซอยหยาบๆ        150    กรัม
           หัวปลี (ลอกเป็นกลีบๆ ซอยหยาบๆ)    70    กรัม
           แคร์รอตซอยเส้น            50    กรัม
           กระเทียมเจียว            150    กรัม
           หอมแดงเจียว            150    กรัม
           มะพร้าวขูดขาวคั่ว            10    กรัม
           ถั่วลิสงคั่วโขลกละเอียด        50    กรัม
           ไข่นกกระทาต้มปอกเปลือก        5    ฟอง
           พริกขี้หนูแห้งทอด            10    เม็ด
           น้ำพริกเผาชนิดไม่ผัด            30    กรัม
           น้ำปลา                30    กรัม
           น้ำมะนาว                40    กรัม
           น้ำตาลปี๊บ                90    กรัม
           หัวกะทิ                30    กรัม

วิธีทำ

           1. เตรียมน้ำยำโดยผสมน้ำพริกเผา น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ และหัวกะทิให้เข้ากัน
           2. จัดเนื้อหมูสับ กุ้ง หนังหมู ถั่วพู หัวปลี แคร์รอต กระเทียมเจียว หอมแดงเจียว มะพร้าวคั่ว ไข่นกกระทา พริกขี้หนูแห้ง และถั่วลิสงใส่จาน จัดเสิร์ฟคู่กับน้ำยำ

Note…

           • หัวปลีซอยแล้วควรแช่ในน้ำเปล่าผสมน้ำมะนาวจะทำให้มีสีขาวน่ากิน
           • ถั่วพูต้องต้มให้สุกจะทำให้ไม่ดำ และรีบแช่ในน้ำเย็นจะทำให้มีสีเขียวสด
 


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กลิ่นโคลนสาบควาย

เราไม่เคยลืมเลือน กลิ่นโคลนและสาบควาย ในท้องทุ่ง

เพลง...กลิ่นโคลนสาบควาย

คำร้อง/ ทำนอง อ.ไพบูลย์ บุตรขัน
ชาญ เย็นแข ขับร้อง


อย่าดูหมิ่นชาวนาเหมือนดั่งตาสี
เอาผืนนาเป็นที่พำนักพักพิงร่างกาย
ชีวิตเอยไม่เคยสบาย
ฝ่าเปลวแดด แผดร้อนแทบตาย ไล่ควายไถนาป่าดอน

เหงื่อรินหยดหลั่งลงรดแผ่นดินไทย
จนผิวพรรณเกรียมไหม้แดดเผามิได้อุทธรณ์
เพิงพักกายมีควายเคียงนอน
สาบควายกลิ่นโคลนเคล้าโชยอ่อน ยามนอนหลับแล้วฝันใฝ่

กลิ่นโคลนสาบควายเคล้ากายหนุ่มสาว แห่งชาวบ้านนา
ไม่เลอเลิศฟ้าเหมือนชาวสวรรค์
หอมกลิ่นน้ำปรุงฟุ้งอยู่ทุกวัน
กลิ่นกระแจะจันทร์ หอมเอยผิวพรรณนั้นต่างชาวนา

อย่าดูถูกชาวนาเห็นว่าอับเฉา
มือถือเคียวชันเข่า เกี่ยวข้าวเลี้ยงเราผ่านมา
ชีวิตคนนั้นมีราคา
ต่างกันแต่ชีวิตชาวนา บูชากลิ่นโคลนสาบควาย


เชิญฟังเพลงกลิ่นโคลนสาบควาย
 


ขอบคุณชาวนาไทยทุกท่านที่ได้ปลูกข้าวให้เรากินกัน

                                                                   โชคดีจงเป็นของทุกท่านค่ะ

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สวนสนุกในกองฟาง

กองฟาง สวรรค์บ้านนา


เล่นไล่จับกัน สนุกอย่าบอกใคร

ปืนต้นไม้เก่งตั้งแต่เด็กแล้ว


   ความสุขที่ได้เล่นกองฟางของพวกเรานั้น ขอบอกว่า สนุกมาก ไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องกังวลใดใด พบเจอกองฟางใหญ่ พาเพื่อนลุยได้เลย  ยิ่งถ้าเล่นซ่อนหาและแอบในกองฟางหล่ะก็ ขอบอกว่าเพื่อนหาไม่เจอแน่นอน แต่เราก็ร้อนแสนร้อน อยากออกมา แต่ได้โอกาสแกล้งเพื่อน ก็สนุกไปอีกแบบ  พอเห็นเพื่อนหาไม่เจอจริงๆ  ก็จะออกมา แต่ผลคือ คันทั้งตัว เพราะฟางข้าวก็จะมีเศษข้าวเปลือกยังติดอยู่บ้าง แถมฟางข้าวก็เปรียบดังหญ้าดีดีนี่เอง ยิ่งเกาทำไมยิ่งมัน ยิ่งมันทำไมยิ่งเกา เรามาเกา เกา เกา ๆๆๆๆ  โอ้ยไม่ไหวแล้ว ต้องหาบ่อน้ำลงอาบน้ำแล้วหล่ะ  อย่าคิดว่าจะมีน้ำประปานะ  เตรียมตัวกระโดดน้ำกันได้เลย

ท้องนากับเจ้าทุย

ท้องทุ่งนาที่เขียวขจี


กระท่อมน้อยปลายนา นอนพักเวลาเหนื่อย ฟังวิทยุทรานซิสเตอร์ ม่วนหลายเด้อ

เจ้าลูกควายตัวน้อย กำลังอ้อนกินนมแม่

ชาวนา กระดูกสันหลังของชาติ หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน

หัดอ่าน หัดเขียน บรรยากาศสบาย ๆ ท้ายทุ่ง


   ขอบคุณชาวนา วันนี้ทำให้รู้ว่า ข้าวแต่ละเม็ด ต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อสักเท่าไร
   ขอบคุณฟ้าที่บันดาลน้ำมาหล่อเลี้ยงข้าวให้สวยงาม ให้ความชุ่มฉ่ำเกิดขึ้นบนผืนนา
   ขอบคุณเจ้าควาย เจ้าช่วยไถนา ให้ปลูกข้าว มาเลี้ยงคนทั้งโลก
   ขอบคุณบรรพบุรุษ  ที่มีภูมิปัญญา ส่งเสริมให้ลูกหลานรู้คุณค่าแห่งความเป็นอัจฉริยะบุคคล"ชาวนา"
   เป็นบุคคลที่ควรยกย่อง เป็นกระดูกสันหลังของชาติ เป็นแบบอย่างแห่งความอดทน
   ขอบคุณประเทศไทย ที่มีผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว

ฤดูหนาวที่คิดถึง

นั่งล้อมวง ผิงไฟ ในฤดูหนาว


   เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว เป็นฤดูที่ฉันโปรดปรานที่สุด  ฉันมีความสุขมากมาย เพราะว่าเพื่อนๆ จะมาผิงไฟรวมกัน แต่ละคนก็จะนำกล้วย มัน เผือก มาเผาไฟ และนั่งคุยกันเรื่องต่าง ๆ  โดยเฉพาะเล่าเรื่องผี น่ากลัวมาก พวกเราจะมีผ้าห่มคนละผืน และ ปูเสื่อนั่งล้อมวง พอฟังเรื่องผีก็จะค่อยๆ เขยิบเข้ามาหากัน จากผ้าห่มคนละผืน ก็จะรวมกันเป็นผ้า 1 ผืน ห่มทั้งวง มีทั้งเสียงหัวเราะหยอกล้อกัน และเสียงทำให้ตกใจกลัว  ความรู้สึกตอนนั้นทั้งกลัว ตื่นเต้น และมีความสุข  ตอนนี้กล้วย มัน และเผือก เริ่มสุกแล้ว และเราก็ได้กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูกอันแบนๆ ของเรา ถึงเวลากินอีกแล้ว เริ่มใช้ไม้เขี่ยกล้วยออกมาจากกองฟืน และจะแกะเปลือก  แต่ร้อนมาก จับโยน จับโยน กว่าจะได้กิน มือดำปิ๊ดปี๋  แต่ก็อร่อยสมดังรอคอย
   พวกเรารู้สึกว่า ของเหล่านี้ เป็นอาหารเลิศรสของเรา ไม่มีอะไรอร่อยกว่านี้อีกแล้ว แซบแซบ กินอิ่มแล้วก็อย่าคิดว่าเราจะกลับบ้าน พวกเราก็จะพากันนอนล้อมวงอยู่ตรงหน้ากองไฟ  ผู้ใหญ่เห็นก็จะออกมานอนเป็นเพื่อน เพื่อคอยเติมฟืนให้ไฟอยู่ได้ตลอดทั้งคืน นอนตากน้ำค้างรอบกองไฟ อากาศหนาวเย็นมากมาก แต่ขอบอกว่า บรรยากาศสุดยอด ฮิฮิ  ตอนนี้ใครหลายคนยังคิดถึงบรรยากาศนี้อยู่ แต่เสียใจ มันย้อนไปไม่ได้ ทุกวันนี้ลองมานอนตากน้ำค้างก็ป่วย หรือไม่ก็กลัวคนมาทำมิดีมิร้าย ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว แต่ความทรงจำดีดี ไม่เคยเปลี่ยนแปลง..... รักนะความทรงจำ



ภาพความทรงจำ

ยายผู้เลี้ยงเรามาตั้งแต่เกิด
   ภาพความทรงจำในอดีต อยู่ในความทรงจำของเรา มีสุข ทุกข์ ปนกันไป แต่ตอนเด็กไม่ค่อยรู้จักความทุกข์หรอก ส่วนมากก็สนุกสนานอย่างเดียว  ผู้หญิงคนนี้ที่ดูแลเรามาโดยตลอด ตั้งแต่เราเกิดมา จนเรามีครอบครัว เสียดายเมื่อเราเริ่มจะลืมตาอ้าปากได้ ท่านก็จากเราไปเสียก่อน " รักและคิดถึงยายทุกวันคืน" ขอบคุณที่ยายสั่งสอนให้รู้จักความอดทน จนมีวันนี้

   ทำไมเราขึ้นต้นรูปด้วยช้าง  ก็เราเป็นคนเมืองช้างสุรินทร์ ช่วงที่เราเขียนเรื่องราวลงBlog ก็เป็นช่วงงานช้าง เป็นงานประจำจังหวัดของสุรินทร์พอดี 

  ตอนเป็นเด็กเมื่อถึงงานช้าง จะตื่นเต้นมาก งานจะมีประมาณ 7วัน 7 คืน บ้านเราอยู่ต่างอำเภอ แต่ยายจะพาเราเข้ามาในเมืองสุรินทร์ ไม่นอนบ้านญาติหรอกนะ ไม่มีเงินเช่าโรงแรม  แต่ที่นอนของเราก็คือที่ว่างในงานนั่นแหละ ยายจะนั่งเฝ้าเราตอนเราหลับ และยายจะแอบงีบตอนเช้า ยายนำลังมาปูให้เรานอน แสนมีความสุข ......ความสุขมันอยู่ที่ใจจริงๆ  งานช้างกำลังจะผ่่านไปอีกครั้ง พร้อมกับความทรงจำดีดี....ที่ไม่เคยผ่านไปจากใจเราเลย.......คิดถึงสุรินทร์  ถิ่นช้างใหญ่ อีกครั้งแล้วซิ........ฮิฮิ

คนบ้านเรา

     ในบ้านเรา มีสิ่งดีดีมากมาย  บอกกับตัวเองว่า คงไม่มีที่ไหนดีเท่าประเทศไทยแล้ว  รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ  คือสิ่งที่สร้างสรรค์ และ จรรโลงใจ คนไทยมาโดยตลอด  นึกถึงตอนเป็นเด็กทีไร ยิ้มออกทุกที หลายคนก็มีความรู้สึกเดียวกันอยู่ ส่งเรื่องดีดีมาบอกกันนะค่ะ ว่าความประทับใจของคุณในบ้านเราเกิดขึ้นตอนไหนที่ทำให้คุณมีความสุขที่สุด


สุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่

วัยเด็กของเรา เชยมากๆ  ใส่ชุดนอนเล่นน้ำทะเล